แม็กซ์เริ่มต้นอ่านงานของอลิสัน เจมส์ตั้งแต่สมัยที่เธอเขียนให้กับสนพ.อีลอร่าส เคฟ ซึ่งเราค่อนข้างชอบงานของเธอพอสมควรเลยล่ะ (เรื่องฮ็อตได้ใจมาก) และเมื่อเรารู้ว่า เธอคือคนเดียวกับเจนนิเฟอร์ แอชลี่ย์ ก็ทำให้แม็กซ์เริ่มหันมาอ่านงานของเธอในนามปากกานั้นด้วย ดังนั้นจึงไม่แปลกอะไรเลยที่เราติดตามเธอไปยังสนพ.เบิร์คเลย์ เมืีอเธอเริ่มต้นเขียนหนังสือชุดแนวพารานอมอลเกี่ยวกับมังกร
โดยคอนเซ็ปต์แล้วดูน่าสนใจค่ะ แม็กซ์จำได้ว่าสมัยที่เธอเริ่มต้นเขียนเรื่อง Dragon Heat ยังไม่ค่อยมีนักเขียนคนไหนเอาเรื่องมังกรมาเล่นมากนัก (ซึ่งเมื่อเทียบกับตอนนี้เริ่มมีมังกรเพ่นพ่านมากขึ้น) เมื่อเราอ่านเล่มแรกจบลง เราคิดว่าเธอเริ่มต้นได้ดี เรื่องอาจจะไม่ถึงกับสนุกถูกใจเรามาก แต่ก็ดูมีอนาคตไม่น้อย และมันก็ถูกพิสูจน์เมื่อแม็กซ์อ่านเล่มที่สองในชุด เรื่อง The Black Dragon (เดี๋ยวจะเขียนรีวิวให้อ่านกันค่ะ) ที่เราคิดว่าเป็นเล่มที่ดีที่สุดในชุด แต่แล้วในเล่มสาม และเราคิดว่าอาจจะเป็นเล่มสุดท้ายในชุดนะคะ กลับเป็นเหมือนการเดินถอยหลังลงคลอง
The Black Dragon ของอลิสัน เจมส์
เหตุผลส่วนหนึ่งที่ทำให้แม็กซ์ชอบเล่มนี้มากกว่าเล่มอื่นในชุดอาจเป็นเพราะ มัลคอล์ม พระเอกของเรื่องเป็นตัวละครที่เกือบจะเป็นตัวร้ายในเล่มแรกของชุด (Dragon Heat) ในฐานะของคนที่ชอบตัวร้ายมากอย่างเรา เล่มนี้จึงถูกหยิบมาอ่านทันทีที่ซื้อมา (แต่ไม่ได้เขียนรีวิวเท่านั้นเอง มาเขียนตอนนี้เพราะเราเพิ่งอ่านเล่มสามจบไป เลยถือโอกาสรวบยอดทีเดียวไปเลย) และก็ไม่ผิดหวังค่ะ เราคิดว่าเล่มนี้เป็นเล่มที่ให้ความหวังเรากับงานของอลิสันพอสมควรเลยล่ะ
มัลคอล์มเป็นมังกรสีดำที่ถูกคำสาปของแม่มดทำให้เขาติดอยู่ในโลกมนุษย์ เป็นเวลานานหลายร้อยปี สิ่งเดียวที่เขาถวิลหาก็คือการกลับบ้านในโลกแห่งมังกร (โลกแห่งมังกรเป็นเหมือนมิติคู่ขนานไปกับโลกของเรา ต้องให้แม่มดให้พลังในการเปิดประตูข้ามมิติ มังกรจึงจะข้ามกลับไปได้) ดังนั้นเมื่อเขาได้พบกับซาบะ สาวอเมริกันเชื้อสายญี่ปุ่น และเป็นแม่มดฝึกหัด เขาก็เห็นโอกาสที่จะใช้เธอในการส่งเขากลับบ้าน มัลคอล์มครองงำซาบะและให้เธอเป็นผู้ช่วยในการต่อสู้กับคาเล็บ มังกรสีทอง ที่คุ้มกันลิซ่า ซิงเกิ้ลตัน ผู้พิทักษ์ประตูแห่งมิติอยู่ ทั้งหมดนี่เป็นเหตุการณ์ในเล่มแรกในชุดค่ะ
แน่ล่ะ ในเล่มนี้ มัลคอล์มซึ่งสงบศึกกับทั้งคาเล็บและลิซ่าแล้ว กำลังจะได้กลับบ้าน หลังจากใช้เวลาในโลกมนุษย์มาหลายร้อยปี มัลคอล์มกลับได้พบกับคนเพียงคนเดียวที่ทำให้เขาหวั่นไหว นั่นก็คือซาบะ เธอทำให้เขาคิดที่จะอยู่ต่อ แต่กระนั้นมัลคอล์มก็ข้ามประตูกลับไปในโลกแห่งมังกร แต่ก็ไม่ก่อนที่จะทิ้งสัญลักษณ์แทนกาย ที่ซาบะสามารถใช้เรียกตัวเขาให้กับมายังโลกมนุษย์ได้ทุกเมื่อ
ซาบะไม่ต้องการจะใช้มัน เธออาจใช้เวลากับมัลคอล์มโดยที่จิตใจของเธอถูกครอบงำ แต่ก็มีบางส่วนที่เธอรู้ดีกว่า เขาเป็นมากกว่านั้น มันไม่ใช่ความสัมพันธ์ของเจ้านายและลูกน้องธรรมดา ซาบะรู้ว่า ตัวเองไม่อาจรั้งมัลคอล์มไว้ในโลกมนุษย์ได้นาน และไม่ต้องการเอาหัวใจเข้าไปเสี่ยง
แต่เธอก็ไม่มีทางเลือก เมื่อพบว่าตัวเองกลายเป็นเป้าหมายของมังกรขาว ที่ต้องการพลังแม่มดในกายเธอ เพื่อใช้ในการทำลายโลก มัลคอล์มกลับมาอีกครั้ง และคราวนี้เขาสวมบทบาทที่ตัวเองไม่คุ้นเคยสักเท่าไหร นั่นก็คือการเป็นพระเอก
อย่างที่บอกแต่แรกค่ะ เราชอบมัลคอล์ม ชอบความมีมิติของเขา ในยามที่เป็นตัวร้ายเล่มแรก เราพบว่าเขาน่าสนใจกว่าพระเอก ดังนั้นในเล่มที่เขาควรจะโดดเด่นเหนือใคร มัลคอล์มก็โดดเด่นได้จริง ความที่เขาเป็นมังกรดำ ที่มีนิสัยสนใจใฝ่รู้ และชอบอยู่ตามลำพัง ความเข้าใจมนุษย์ของมัลคอล์มก็มีจำกัด ถึงจะอยู่ในโลกมนุษย์มานานเป็นร้อย ๆ ปี แต่มัลคอล์มก็ยังไม่อาจเข้าใจมนุษย์ได้ถ่องแท้ ดังนั้นเมื่อเขาพบว่าตัวเองตกหลุมรักกับมนุษย์ มันจึงสร้างความสนุกสนานให้กับเนื้อเรื่องอย่างยิ่ง (เขาไม่เข้าใจว่าเธอทำไมจึงไม่เข้าใจว่าเขารักเธอ)
โดยรวมหนังสือเล่มนี้น่าสนใจมากกว่าเล่มแรก แต่สิ่งที่ให้ความรู้สึกเหมือนกันก็คือ ความเบาบางของเนื้อเรื่อง แม็กซ์บรรยายไม่ถูกนะคะว่ามันคืออะไร แต่เรารู้สึกถึงความไม่จริงจังของตัวละครต่ออันตรายที่พวกเขากำลังเผชิญหน้า มันเหมือนกับว่าความกดดันในเรื่องมันไม่มากพอ แต่เมื่อคิดถึงอันตรายที่ตัวร้ายนำมา มันใหญ่หลวงนะคะ เพียงแต่เรารู้สึกว่าปฏิกริยาของตัวเอกในเรื่องไม่สมจริง หรือไม่ก็เป็นเพราะบรรยากาศในเรื่องดูผ่อนคลายเกินไป แต่นี่ก็เป็นเอกลักษณ์นึงของอลิสัน เจมส์ ซึ่งถ้าคุณอ่านงานของเธอมาสักระยะก็น่าจะเข้าใจ
เราไม่ได้บอกว่า มันแย่หรือเลวร้ายหรอกนะคะ เพียงแต่แม็กซ์เป็นคนที่ชอบเรื่องเครียดหน่อย (หรือไม่ก็ฮาแตกไร้สาระไปเลย) พอเจออะไรที่อยู่ตรงกลาง มันก็เลยทำให้เราไม่รู้สึกว่าเรื่องโดดเด่นจนถึงขนาดเข้าไปอยู่ในใจเราได้
เล่มนี้คะแนนที่ 70
The Dragon Master ของอลิสัน เจมส์
อันดับแรกเลยที่แม็กซ์มีปัญหากับหนังสือเล่มนี้ก็คือ เรามีความรู้สึกว่า อลิสันไม่ได้วางแผนที่จะเขียนเล่มนี้เลยตั้งแต่ต้น มันเหมือนกับว่าเธอวางแผนจะเขียนแค่สองเล่ม (Dragon Heat และ The Black Dragon) ซึ่งจากที่แม็กซ์ค้นข้อมูล ก็รู้ว่าตอนที่เซ็นต์สัญญากับเบิร์คเลย์ฉบับแรกนั้น อลิสันก็ขายหนังสือในชุดนี้ไปแค่สองเล่มเท่านั้น และอาจะเป็นได้ว่าชุดนี้ค่อนข้างฮิต จึงมีการให้เธอเขียนเรื่องต่อ และเธอก็เขียนเรื่องนี้ขึ้นมา แต่อย่างที่บอกค่ะ มันไม่ใช่เล่มที่วางแผนมาตั้งแต่ต้น ดังนั้นแม็กซ์จึงรู้สึกถึงความไม่สม่ำเสมอของเนื้อเรื่องมากเลยค่ะ
คาโรล ฮวน ที่แม้จะชื่อเหมือนชาวสแปนิช แต่ก็เป็นคนอเมริกันเชื้อสายเอเชีย พบว่าตัวเองเผชิญหน้ากับชายร่างเปลือยเปล่าที่ข่มขู่ให้เธอบอกเหตุผลที่เธอ เรียกตัวเขามายังโลกมนุษย์ เซ็ธเป็นมังกรไฟที่มีพลังอันน่าทึ่ง เขาไม่พอใจนักที่ตัวเอกกลายเป็นเหยื่อของผู้ควบคุมมังกรอีกครั้ง หลังจากที่โชคดีหนีไปได้เมื่อหลายร้อยปีก่อน
ปัญหาก็คือ คาโรลไม่ใช่คนที่เรียกเซ็ธมายังโลก ความจริงคือ เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองสืบทอดเชื้อสายของผู้ควบคุมมังกร แต่การมาของเซ็ธก็เป็นการปลุกพลังแฝงอันนี้ในกายของเธอให้ตื่นขึ้น จากคนที่ไม่เชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติ คาโรลพบว่าตัวเองกลายเป็นศูนย์กลางของมัน และมีความสามารถในการควบคุมมัน เพราะแม้แต่มังกรที่ทรงอำนาจที่สุด ก็ยังตกอยู่ภายใต้การควบคุมของเธอได้
คาโรลเป็นตัวละครที่ปรากฎขึ้นมาในหนังสือชุดนี้ทั้งสองเล่ม แต่ในช่วงเวลาที่เธอมีบทบาท แม็กซ์ไม่รู้สึกว่าเธอมีความพิเศสอะไรซ่อนอยู่เลยสักนิด มันเป็นไปได้นะคะว่าคนแต่งอาจจะวางแผนเรื่องให้กับคาโรลอยู่แล้ว เพียงแต่เรารู้สึกว่า เจ้าความเป็น "ผู้ควบคุมมังกร" ของเธอ มันโผล่ขึ้นมาแบบซะงั้น (คือไม่มีที่มาที่ไป)
เรื่องนี้เป็นความขัดแย้งในตัวเองของคาโรล ที่พลังในกายผลักดันให้เธอแสวงหา และควบคุมมังกรให้มากที่สุด ในขณะที่ตัวตนที่เธอเป็นกลับรู้สึกว่าการกระทำนั้นมันน่ารังเกียจ แต่คาโรลก็ไม่มีทางเลือก เมื่อความจริงปรากฎว่า ปีศาจกำลังจะหลบหนีออกจากที่คุมขังได้แล้ว และเซ็ธเป็นเครื่องมือสำคัญของผู้ควบคุมมังกรในการจัดการกับปีศาจนั้น ภาระทั้งหมดจึงตกมายังเธอ ในกระทำในสิ่งที่เธออาจจะต้องเสียใจทีสุดในชีวิต โดยเฉพาะเมื่อเธอ และมังกรไฟของเธอผูกพันกันมากกว่าแค่มนตร์ตราที่ผูกพวกเขาเอาไว้
สำหรับเรื่องนี้แม็กซ์โอเคกับตัวละครทั้งสองคนนะคะ ไม่ถึงกับประทับใจ ส่วนหนึ่งเพราะเราติดภาพของคาโรลตอนที่เธอออกมาในสองเล่มแรก ที่เราไม่รู้สึกว่าคาแร็คเตอร์ของเธอน่าสนใจขนาดจะต้องมีเรื่องเป็นของตัว เอง เราคิดว่าเธอเป็นตัวละครทีน่าเบื่อ แม้ในเรื่องนี้จะมีการเล่าภูมิหลัง และทำให้เธอน่าสนใจขึ้น แม็กซ์ก็ยังอดนึกถึงภาพเดิม ๆ ของเธอในหัวไม่ได้ ในกรณีนี้ไม่ใช่ว่า อลิสันเปลี่ยนแปลงคาแร็คเตอร์ของคาโรลจากหน้ามือเป็นหลังมือหรอกนะคะ เธอยังคงเป็นเหมือนเดิมพอสมควร แต่เจ้าความรู้สึกว่า อลิสันไม่ได้วางแผนสำหรับการเขียนเรื่องนี้ขึ้นมาก็ค้างคาใจในรำคาญอยู่ เรื่อย
เซ็ธเป็นมังกรไฟที่รักสันโดษและชอบอยู่คนเดียว การถูกเรียกมาในโลกมนุษย์เป็นการทรมานที่เขาไม่ชอบอย่างรุนแรง แต่การได้เจอกับคาโรลเริ่มทำให้เขาเปลี่ยนใจ เซ็ธก็เช่นเดียวกับคาเล็บที่เรามีปัญหากับคาแร็คเตอร์ของเขา เพราะทั้งคู่มีพื้นฐานเป็นมังกรมากกว่ามนุษย์ ทำให้หลายครั้งเรารู้สึกว่า ตัวตนที่แท้จริงของเขาไม่ใช่มนุษย์ แต่เป็นมังกร (ในเรื่องของคาเล็บ เราคิดว่าตอนจบค่อนข้างลบล้างอาการติดขัดอันนี้ของเราได้พบสมควร โดยเฉพาะเมื่อเฉลยว่าแท้จริงแล้วลิซ่าเป็นใคร) แต่ในเล่มนี้ เซ็ธไม่เคยมีเซ็กส์มาก่อน (เคยแต่มีตอนที่ร่างเป็นมังกร) และมีคาโรลเป็นคนแรก ความรู้สึกของแม็กซ์ตอนที่อ่านน่ะมัน "ยี้" พอควรนะคะ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะตัวเองคิดมากไปไหม แต่เรานึกตลอดว่า ร่างที่แท้จริงของเซ็ธก็คือมังกรนะ ไม่ใช่คน
ความเป็นผู้ควบคุมมังกรของคาโรล และพลังอันไม่มีขีดจำกัดของเธอเป็นสิ่งที่ขัดใจแม็กซ์มาก เพราะมันลบล้างสิ่งที่อลิสันเขียนไว้ในสองเล่มแรกทั้งหมด ไม่มีการพูดถึงผู้ควบคุมมังกรในสองเล่มแรกเลย และเมื่อถูกพูดถึงก็กลายเป็นว่า นี่คือคนที่มีอำนาจมากที่สุด เรารู้สึกเหมือนคนแต่งพยายามจะทำให้ตัวละครทุกเรื่องของเธอเป็นคนที่ทรง อิทธิพลมากที่สุด แต่การทำอย่างนั้น มันก็เป็นการทำลายตัวตนของตัวละครตัวอื่นของเธอที่เธอเขียนขึ้นมาก่อนแล้ว (สปอยล์) เพราะลิซ่า ก็เคยเป็นตัวละครที่ทรงอำนาจมากที่สุดมาก่อนเช่น แต่ในเล่มนี้คาโรลสามารถควบคุมคนคนนั้นได้อย่างง่ายดาย
เราอยากให้เล่มนี้เป็นเล่มสุดท้ายในชุด เพราะคิดว่าอลิสันหมดมุขที่จะเขียนเรื่องในซีรี่ย์ชุดนี้แล้ว
คะแนนที่ 57
No comments:
Post a Comment