Friday, February 6, 2009

The Song // Jean Johnson

เรื่องของพี่น้องแปดคน ที่มาจากแฝดสี่คู่ เกิดวันเดียว ห่างกันคู่ละสองปี ซึ่งเป็นไปตามคำทำนายเมื่อพันปีก่อนว่า การเกิดของทั้งแปดคนนี้จะเป็นความพินาศย่อยยับของอาณาจักรที่พวกเขาอาศัย อยู่ หากพี่ชายคนโตมีความสัมพันธ์กับสาวบริสุทธิ์ และนั่นเป็นเหตุทำให้ทั้งแปดคนต้องถูกขับไล่ และเนรเทศออกจากอาณาจักรคาตัน ไปอยู่บนเกาะไนท์ฟอลอันห่างไกล

นี่เป็นธีมเรื่องหลักของหนังสือชุด Sons of destiny ของจีน จอห์นสัน หนังสือแนวพารานอมอลในโลกคู่ขนานกับโลกที่เรารู้จักกัน ดินแดนที่เชื่อและใช้เวทมนตร์ราวกับมันเป็นอวัยวะของร่างกาย

แม็กซ์ผิดหวังกับเล่มแรก The Sword อย่างมาก เพราะไม่มีอะไรแทบจะเกิดขึ้นในเรื่องเลย นอกจากการทำความสะอาดบ้านของนางเอก วิธีการที่คนแต่งใช้ในการแนะนำพี่น้องทั้งแปดคน โดยให้ตัวละครแต่ละคนพูดตามลำดับความเป็นพี่น้อง ลักษณะของตัวละครที่ไม่โชว์จุดเด่นของพวกเขามากพอขนาดที่คนอ่านจะจำได้ (โดยที่ไม่ต้องบอกชื่อว่า ใครกำลังพูด หรือกำลังทำอะไรอยู่)

สำหรับคนที่อยากอ่านรีวิวอีกรอบ คลิกได้ที่รูปปกหนังสือนะคะ ทำลิงค์ไว้ให้แล้ว

และนั่นเป็นเหตุผลที่แม็กซ์ไม่อ่าน The Wolf เล่มสอง ที่เป็นเรื่องราวของวูลฟ์เฟอร์ฝาแฝดของเซเบอร์พี่ชายคนโต (และเป็นพระเอกเรื่อง The Sword) เพราะไม่เห็นว่าพล็อตจะน่าสนใจเท่าไหรนัก ทั้งยังผิดหวังกับเล่มแรกไม่หาย สำหรับคนที่อยากรู้ พล็อตเรื่องเล่มสองเล่าถึงวูลฟ์เฟอร์และอลิสเด็กสาวข้างบ้านที่ปิ๊งกันมา ตั้งแต่เธออายุสามขวบ อลิสเป็นเด็กสาวขี้อาย และถูกควบคุมทุกฝีก้าวโดยลุงอันชั่วร้าย แต่เมื่ออลิสรู้ว่าลุงของเธอกำลังวางแผนทำร้ายพี่น้องทั้งแปดแห่งเกาะไน ท์ฟอล เธอจึงหนี และเดินทางมาไนท์ฟอลเตือนให้พวกเขารู้ถึงภยันตรายที่กำลังจะเกิด และนั่นก็ทำให้เธอได้กลับมาพบกับชายที่เธอรักอย่างสุดหัวใจอีกครั้ง

แต่เป็น The Master เล่มสามที่ทำให้แม็กซ์กลับมามีศรัทธาในชุดนี้อีกครั้ง เรื่องของดอมินอร์ น้องชายคนที่สาม เล่มนี้เองที่แม็กซ์คิดว่า คนแต่งพัฒนาฝีมือทำให้เรื่องกลับมามีความน่าสนใจมากขึ้น แต่ถึงอย่างนั้น หนังสือเล่มนี้ก็ยังไม่อาจทำให้แม็กซ์คิดว่า พล็อตเรื่องของเธอมีจุดเด่นอะไรเป็นพิเศษ

เช่นกันค่ะ รีวิวเขียนแล้ว ตามอ่านได้ด้วยการคลิกที่ปกหนังสือ

พูดถึงสามเล่มไปคร่าว ๆ แล้วนะคะ ในที่สุดก็มาถึงเล่มที่ตั้งใจจะรีวิวให้อ่านกันกับเล่มนี้ The Song

ความน่าสนใจของ The Master ก็มีมากพอจะทำให้แม็กซ์หยิบเอา The Song เล่มสี่ในชุดมาอ่านเกือบจะในทันทีที่ซื้อมา แม้ว่าตัวอีวานอร์พระเอกและเมอริลนางเอกจะดูไม่น่าสนใจเอาเลย

และคำตัดสินก็คืออีวานอร์และเมอริลก็ไม่น่าสนใจจริงด้วย ความรักของทั้งคู่มันราบเรียบ ลงตัว ไปเกือบจะในวินาทีแรกที่ทั้งสองพบกัน ไม่ต้องลุ้น ไม่มีทะเลาะ ไม่มีความขัดแย้ง และนั่นคือความไม่น่าสนใจ

อีวานอร์เป็นพ่อมดที่พลังอำนาจอยู่ที่เสียงของเขา ซึ่งเขาสูญเสียมันไปใน The Wolf สำหรับคนที่อยู่กับเสียงเพลงมาตลอดชีวิต นั่นเป็นความเจ็บปวดที่แทบจะทนไม่ได้ และแล้วความหวังที่จะกลับมาเป็นเหมือนเดิมก็มาในรูปของหมอสาวแสนสวย คนที่เขาเชื่อว่า นอกจากจะเป็นผู้รักษากล่องเสียงให้เขาแล้ว จะยังเป็นเจ้าสาวแห่งโชคชะตาให้กับเขาอีกด้วย

อย่างที่บอกค่ะ ไม่ต้องลุ้นเรื่องความรัก เพราะอีวานอร์เชื่อฟังคำทำนายโบราณมาก เพราะแฝดผู้พี่ซึ่งเป็นลูกชายคนที่สามได้เมียไปแล้ว คราวนี้ก็ถึงคิวเขาบ้าง เมื่อผู้หญิงคนที่สี่มาเยือนครอบครัวหนุ่มแปดคนนี้ ทุกอย่างเป็นไปตามลำดับ และคำทำนาย

ส่วนของโรแมนซ์อาจจะไม่เรียกว่าสอบตกนะ แต่มันไม่มีอะไรให้ลุ้นเลย ทั้งอีวานอร์และเมอริลเข้ากันได้ดีมาก พูดคุยกันเหมือนคู่สามีภรรยาที่แต่งงานกันมานานสักยี่สิบปี (คู่ที่ยังไม่ได้คิดจะเลิกกันนะ)

แต่ท่ามกลางความไม่น่าสนใจของพระเอกนางเอก แม็กซ์กลับพบว่าตัวเองหลงเข้าไปในโลกแห่งไนท์ฟอล คาตัน และจินตนาการของจีน จอห์นสัน เกี่ยวกับพี่น้องทั้งแปดคน หากแม็กซ์จะบอกว่า ความน่าสนใจของฉากหลังของเรื่องเอาชนะความน่าเบื่อของพระเอกนางเอกได้ ก็คงไม่ไกลจากความจริงนัก เพราะมันเป็นเช่นนั้นจริง ๆ

แม็กซ์ชอบที่จะได้ติดตามรู้ถึงความเป็นไป และอนาคตที่อาจจะเกิดขึ้นกับพี่น้องที่เหลือ ชอบตัวละครรองที่มีพลังเวทมนตร์เหลือเฟืออย่างไรเดน (น้องคนที่หก) และมอร์แกนเนน (น้องคนสุดท้อง) อยากรู้ว่าเมื่อไรคอร์เรนเนน (น้องคนที่เจ็ด) จะได้เจอผู้หญิงที่เขารอคอยเสียที

แม็กซ์อยากรู้ว่าเกาะไนท์ฟอลจะมีอนาคตเป็นเช่นไรหลังจากที่เคลลี่ (นางเอกเล่มหนึ่ง) ประกาศอิสรภาพไปแล้ว

คะแนนเล่มนี้ไม่ค่อยสูงหรอกนะคะ ที่ 63 แต่เรื่องราวที่เป็นฉากหลังของหนังสือชุดนี้น่าสนใจมากพอจะทำให้แม็กซ์ ตั้งใจจะอ่านต่อไปจนจบชุดค่ะ แม้ว่าจะไม่ถึงกับปิ๊งอะไรกับตัวเอกในเรื่องมากนัก (เพราะปิ๊งตัวละครรองอย่างไรเดนไปอย่างจังแล้วน่ะสิคะ)

No comments: